๑. อามิสทาน
หรือ วัตถุทาน เป็นการให้วัตถุสิ่งของมีข้าวปลาอาหาร เสื้อผ้าเครื่องนุ่งหุ่ม
ยารักษาโรค เป็นต้น โดยลักษณะของทานที่ให้นั้น แบ่งได้ ๓ ประเภท คือ
๑. สามีทาน
เป็นการให้ของที่ดีกว่าที่ตนเองบริโภคใช้สอย คือ
เป็นของที่ตนไม่ได้ใช้หรือได้รับประทาน เป็นของที่เลือกสรรเป็นอย่างดี
เป็นการให้ด้วยความเคารพ เทิดทูนเหมือนให้แก่ผู้เป็นนาย การให้ของเช่นนี้จะมีผลมาก
๒. สหายทาน เป็นการให้ของที่เหมือนๆ
กับที่ตนบริโภคใช้สอย ไม่ดีกว่า ไม่เลวกว่ากัน เหมือนให้กับคนที่เป็นสหายกัน
มีอะไรก็แบ่งกันกินแบ่งกันใช้ การให้ของเช่นนี้จะมีผลปานกลาง
๓. ทาสทาน
เป็นการให้ของที่เลวๆ หรือของที่ตนไม่ใช้หรือไม่บริโภคแล้ว เป็นการให้อย่างดูหมิ่น
เหมือนให้แก่คนใช้ การให้ของเช่นนี้จะมีผลน้อย
๒. ธรรมทาน
เป็นการให้คำแนะนำสั่งสอนที่เป็นธรรมซึ่งเป็นการให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง
เป็นการแสดงธรรมที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประกาศแล้ว
อันเป็นเหตุสิ้นทุกข์และนำความสุขมาให้ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า
เพื่อประโยชน์แก่ชนเหล่าอื่น และในอรรถกถาอังคุตตรนิกาย ทุกนิบาต
ท่านได้อธิบายไว้ว่า “บุคคลบางคนในโลกนี้ กล่าวปฏิปทาเครื่องบรรลุอมตะให้ นี้ชื่อว่า ธรรมทาน”[2] ซึ่งธรรมทานเป็นสิ่งที่พระพุทธองค์ยกย่อง
เพราะอำนวยประโยชน์สุขที่ยั่งยืนกว่าอามิสทาน
โดยที่สาเหตุที่สรรเสริญการให้ธรรมะหรือธรรมทานว่าเป็นสิ่งที่ดี และเลิศกว่าการให้วัตถุสิ่งของทั้งปวง
เพราะการให้วัตถุสิ่งของนั้น เป็นการช่วยเหลือเกื้อกูลกันเฉพาะหน้า
ความจำเป็นความต้องการก็ย่อมหมดไปได้ตามกาลเวลา ไม่จีรังยั่งยืน คือ
ไม่นานก็ย่อมเสื่อมสิ้นสภาพไปเนื่องจากการใช้หรือการสิ้นอายุการใช้งาน
แต่ธรรมทานหาเป็นเช่นนั่นไม่
เพราะการให้ธรรมะช่วยทำลายความไม่รู้หรือความมืดบอดทางปัญญาของมนุษย์ให้หมดไป
ให้รู้เท่าทันโลก ให้มีสัมมาทิฏฐิ คือ ความเห็นในทางที่ถูกที่ควร
และสามารถนำไปใช้ได้ไม่รู้จักจบสิ้น
เพราะธรรมทานสามารถอำนวยประโยชน์ให้เกิดขึ้นทั้งในประโยชน์ปัจจุบันและประโยชน์สัมปรายภพ
ดังพุทธพจน์ที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสเมื่อจะทรงแสดงธรรมแก่ท้าวสักกเทวราชในตัณหาวรรคแห่งคาถาธรรมบท
ว่า
สพฺพทานํ
ธมฺมทานํ ชินาติ
สพฺพรสํ
ธมฺมรโส ชินาติ
สพฺพาตึ
ธมฺมรติ ชินาติ
ตณฺหกฺขโย
สพฺพทุกขํ ชินาติ.
การให้ธรรมเป็นทานย่อมชนะการให้ทั้งปวง
รสแห่งธรรมย่อมชนะรสทั้งปวง
ความยินดีในธรรมย่อมชนะความยินดีทั้งปวง
ความสิ้นตัณหาย่อมชนะทุกข์ทั้งปวงฯ[3]
ทั้งนี้เมื่อพิจารณาตามหลักของพระพุทธศาสนาแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นการให้อามิสทานหรือธรรมทานแล้ว ทานมี ๒ ลักษณะ คือ ปาฏิปุคลิกทาน
และสังฆทาน ซึ่งแบ่งตามเจตนาเป็นที่ตั้งหรือตามบุคคลผู้รับ
๑. ปาฏิปุคลิกทาน คือ การให้จำเพาะบุคคล เจาะจงบุคคล
เป็นการให้เฉพาะบุคคลใด บุคคลหนึ่ง อันเกิดจากความเชื่อ ความเสื่อมใส
ความเคารพนับถือในตัวบุคคลนั้น
๒. สังฆทาน
คือ การให้ไม่เจาะจง เพื่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง เป็นการถวายแก่สงฆ์
เพื่อส่วนรวมหรือสาธารณะ ผู้ให้จึงมีจิตใจกว้างขวางเผื่อแผ่
ไม่ยึดติดอยู่ในตัวบุคคล ไม่เห็นแก่ที่รักมักที่ชัง
ซึ่งในทางพระพุทธศาสนาถือว่าสังฆทานเป็นเลิศกว่าปาฏิปุคลิกทาน
เนื่องจากเป็นการให้แก่ส่วนรวมได้ใช้
เพื่อประโยชน์แก่หมู่สงฆ์ผู้ศึกษาคำสั่งสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบและสั่งสอนผู้อื่นให้รู้ตาม
พระสงฆ์จึงเป็นเนื้อนาบุญของโลกที่ควรค่าแก่การให้
ด้วยเหตุนี้การให้ในลักษณะนี้จึงมีผลมาก มีอานิสงส์มาก
อนึ่ง การให้มีวัตถุประสงค์หลัก ๒ ประการ คือ
๑. เพื่อผู้ให้จะได้ฟอก
ได้ชำระกิเลสความเศร้าหมองในจิตใจ ได้แก่ ความตระหนี่ ความโลภ ความเห็นแก่ตัว
ความยึดมั่นถือมั่นให้หมดไปหรือเบาบางลง ให้เกิดเป็นความดี เกิดเป็นความสุข
อันจะเป็นการพัฒนาจิตใจในการปฏิบัติธรรมขั้นสูง ให้สำเร็จมรรคผลนิพพานต่อไป
ซึ่งเป็นเหตุผลภายในที่มุ่งเน้นไปที่ผู้ให้เป็นสำคัญ
๒. เพื่อประโยชน์แก่ผู้รับ
อันเป็นไปเพื่ออนุเคราะห์สงเคราะห์ และเพื่อบูชาคุณ
โดยที่การให้เพื่ออนุเคราะห์สงเคราะห์ ได้แก่ การให้แก่ญาติพี่น้อง ลูกหลาน ผู้น้อย
เพื่อช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกันอย่างนี้เรียกว่าการให้เพื่ออนุเคราะห์ ส่วนการให้แก่คนยากจนอนาถา
คนตกทุกข์ได้ยาก รวมทั้งให้แก่สัตว์เดรัจฉาน
ด้วยจิตที่เมตตาสงสารและไม่ได้หวังผลตอบแทนจากคนเหล่านั้น เป็นการให้เพราะคำนึงว่า
ถ้าเราตกอยู่ในสภาพเช่นนั้นจะมีความยากลำบากเพียงไร
เมื่อพวกเขาได้รับการช่วยเหลือจากเรา จะมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น สบายขึ้นกว่าเดิม
หรือพ้นจากภาวะแห่งความยากลำบากได้อย่างนี้เรียกว่าการให้เพื่อสงเคราะห์ สำหรับการให้เพื่อบูชาคุณ ได้แก่
การให้เพื่อบูชาผู้มีพระคุณ ผู้มีคุณความดีแก่ตนและผู้อื่น เช่น
บิดามารดาผู้ให้กำเนิดเลี้ยงดูอบรมสั่งสอน ครูบาอาจารย์ผู้ให้ศิลปวิทยา ซึ่งเป็นผู้ให้การอุปการะเรามาก่อนจึงควรที่จะได้ทำการตอบแทนด้วยความกตัญญูกตเวทิตาธรรม
หรือพระสงฆ์ผู้เผยแผ่คำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้มีพระคุณอันประเสริฐเพื่อให้เกิดประโยชน์สุขแก่ชาวโลกที่เราจะให้เพื่อบูชาคุณ
เป็นต้น
อนึ่ง
การให้ดังต่อไปนี้ไม่จัดเป็นทาน คือ ให้ยาพิษ ให้น้ำเมา ให้ของเสพติดให้โทษ
ให้สินบน ให้ค่าจ้าง ให้อาวุธเพื่อฆ่าผู้อื่น สัตว์อื่น เพราะไม่ใช่ให้ด้วยกุศลจิต
การให้ทานทุกชนิดย่อมมีผลทั้งสิ้น แม้แต่บุคคลเทน้ำลงในหลุมหรือบ่อเล็กๆ
ด้วยหวังว่าจะให้สัตว์ตัวเล็กๆ ได้อาศัยน้ำนี้ พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่าเป็นบุญ